เมื่อฝนตก น้ำจะไหลลงมารวมกันที่ขอบหลังคาบ้าน จุดนี้จะมีน้ำฝนไหลรวมตัวหนักกว่าบริเวณอื่น ๆ นอกจากนี้ น้ำฝนยังจะพัดพาสิ่งสกปรกบนหลังคาลงมารวมกันที่ขอบหลังคาด้วย ทำให้น้ำในบริเวณนั้นสกปรกมากกว่าน้ำฝนตรง ๆ การติดตั้งรางน้ำฝนจะช่วยแก้ปัญหานี้ได้ แต่ก่อนติดตั้ง เราควรทำความเข้าใจว่าคืออะไร ทำไมทุกบ้านควรมี และมีประเภทใดบ้าง เมื่อตัดสินใจติดตั้งแล้ว เราต้องดำเนินการอย่างไร บทความนี้จะอธิบายรายละเอียดเหล่านี้
ทำความรู้จัก รางน้ำฝน คืออะไร ทำไมต้องมีทุกบ้าน
รางน้ำฝนเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยให้บ้านของคุณสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น โดยมีหน้าที่หลักในการระบายน้ำฝนที่ตกลงมาไปยังจุดที่ต้องการ ซึ่งมีให้เลือกหลากหลายวัสดุและรูปแบบ เพื่อให้เหมาะสมกับบ้านและโคมไฟของคุณ แม้ว่าเราไม่สามารถควบคุมการตกของฝนได้ แต่รางน้ำฝนช่วยให้จัดการการไหลของน้ำฝนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมีข้อดีให้เห็นหลากหลายดังนี้
ข้อดีของรางน้ำฝน ที่ทุกบ้านควรมี
รางน้ำฝนเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยในการควบคุมการไหลของน้ำฝนจากหลังคาหรือดาดฟ้าบ้านไปยังบริเวณที่ต้องการ โดยมีประโยชน์หลายประการ ดังต่อไปนี้
- ป้องกันผนังบ้านจากการกัดกร่อนและความเสียหายจากน้ำฝนที่ไหลลงมาจากหลังคา ช่วยลดการเกิดเชื้อราและคราบน้ำที่ผนังได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ช่วยระบายน้ำฝนออกจากบริเวณรอบบ้านอย่างเป็นระเบียบ ลดปัญหาน้ำท่วมขังซึ่งอาจก่อให้เกิดการทรุดตัวของดินได้
- ป้องกันต้นไม้และพืชพรรณรอบบ้านจากการถูกกระแทกจากน้ำฝนที่ตกลงมาจากหลังคาอย่างรุนแรง
- ช่วยป้องกันน้ำฝนไหลซึมเข้าไปในช่องว่างของประตู หน้าต่าง และรอยต่อต่าง ๆ ของบ้าน ลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับพื้นที่ภายในบ้าน
สิ่งที่ต้องระวัง เมื่อต้องติดตั้งรางน้ำฝน
การติดตั้งรางน้ำฝนมีประโยชน์ทั้งต่อตัวคุณและบ้านของคุณ แต่ก่อนการติดตั้งควรระมัดระวังประเด็นต่าง ๆ ดังนี้:
- การวางตำแหน่งรางน้ำฝน ควรติดตั้งรางน้ำฝนให้อยู่ภายในบริเวณที่ดินของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับบ้านเดี่ยวที่มีพื้นที่ระหว่างบ้านจำกัด การติดตั้งรางน้ำฝนให้ยื่นออกไปนอกเขตที่ดินของตน อาจทำให้น้ำกระเซ็นหรือไหลเข้าไปในบ้านข้างเคียง ซึ่งนอกจากจะสร้างความรำคาญแล้ว ยังอาจขัดต่อกฎหมายได้อีกด้วย
- การเลือกขนาดรางน้ำฝนที่เหมาะสม ควรคำนวณขนาดของรางให้สามารถรองรับปริมาณน้ำฝนได้อย่างเพียงพอ โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนหนัก หากติดตั้งรางน้ำฝนขนาดเล็กเกินไป อาจทำให้น้ำล้นรางและกระเซ็นเข้าไปในบริเวณบ้านใกล้เคียงได้
รูปแบบของรางน้ำฝน มีแบบใดบ้าง?
- รางน้ำฝนสเตนเลส สเตนเลสเป็นโลหะที่ทนทานต่อการกัดกร่อนและการเกิดสนิม จึงเหมาะสำหรับใช้ทำรางน้ำฝน เนื่องจากต้องสัมผัสกับน้ำบ่อยครั้ง โดยแนะนำให้เลือกใช้สเตนเลสเกรด 304 ซึ่งมีคุณภาพได้มาตรฐาน นอกจากนี้ รางน้ำฝนสเตนเลสยังมีความแข็งแรง ทนทาน และใช้งานได้นาน
- รางน้ำฝนอะลูมิเนียม อะลูมิเนียมเป็นโลหะที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับการทำรางน้ำฝน เนื่องจากทนต่อการกัดกร่อน ไม่เกิดสนิม มีน้ำหนักเบา และมีความสวยงาม นอกจากนี้ รางน้ำฝนอะลูมิเนียมยังมีข้อดีคือมีปัญหาน้ำรั่วซึมน้อย เนื่องจากมีชิ้นส่วนน้อยชิ้น และมีสีให้เลือกมากกว่ารางน้ำฝนประเภทอื่น
- รางน้ำฝนสังกะสี รางน้ำฝนสังกะสีมีราคาถูก น้ำหนักเบา และติดตั้งง่าย อย่างไรก็ตาม มีข้อเสียคือมีความทนทานต่ำ เกิดสนิมง่าย ไม่ค่อยทนต่อการกัดกร่อน และมีเสียงดังเมื่อน้ำฝนกระทบ
- รางน้ำฝนพีวีซี (PVC) รางน้ำฝนพีวีซีเป็นรางน้ำฝนประเภทพลาสติก ซึ่งมีข้อดีคือไม่เกิดสนิม ติดตั้งไม่ยาก มีหลากหลายสีให้เลือก และราคาไม่แพง อย่างไรก็ตาม ควรเลือกใช้รางน้ำฝนพีวีซีเกรดดี เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาคุณภาพต่ำและการพังง่าย
- รางน้ำฝนไฟเบอร์กลาส รางน้ำฝนไฟเบอร์กลาสทำจากวัสดุสังเคราะห์ สามารถสั่งทำตามขนาดและความยาวที่ต้องการได้ มีความทนทานสูง ไม่เกิดสนิม ไม่มีรอยต่อ และมีสีหลากหลายให้เลือก ช่วยให้รางน้ำฝนเข้ากับสีของบ้านได้เป็นอย่างดี
- รางน้ำฝนเหล็กเคลือบกัลวาไนซ์ รางน้ำฝนเหล็กเคลือบกัลวาไนซ์มีลักษณะเป็นชิ้นเดียว จึงไม่มีปัญหาน้ำรั่วซึมจากรอยต่อ มีความแข็งแรง ทนทาน ไม่เกิดสนิม และมีน้ำหนักเบา ทำให้เคลื่อนย้ายได้ง่าย
การเลือกใช้รางน้ำฝนแต่ละประเภทควรพิจารณาถึงคุณสมบัติ ความทนทาน งบประมาณ และรูปแบบที่เหมาะสมกับบ้านของคุณ เพื่อให้ได้รางน้ำฝนที่มีประสิทธิภาพและคุ้มค่าที่สุด
ก่อนเลือกรูปแบบรางน้ำฝนต้องพิจารณาจากอะไร?
- งบประมาณ
หากกำลังวางแผนติดตั้งรางน้ำฝน งบประมาณเป็นปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณาเป็นอันดับแรก อย่างไรก็ตาม การติดตั้งรางน้ำฝนมักจะเป็นการลงทุนระยะยาว หากงบประมาณเพียงพอ เราขอแนะนำให้เลือกติดตั้งรางน้ำ PVC คุณภาพดีที่มีความทนทานสูงสุด เพราะจะคุ้มค่ากับการลงทุนในระยะยาว อย่างไรก็ดี หากงบประมาณมีข้อจำกัดก็เลือกติดตั้งตามขนาดงบประมาณที่เหมาะสมก็ได้
- ขนาดพื้นที่หลังคา
ขนาดพื้นที่หลังคามีความสัมพันธ์โดยตรงกับปริมาณน้ำฝนที่สามารถรวบรวมได้ หลังคาที่มีขนาดใหญ่จะสามารถรองรับน้ำฝนได้มากกว่าหลังคาขนาดเล็ก ก่อนติดตั้งควรวัดขนาดพื้นที่หลังคาให้ถูกต้องก่อน เพื่อเลือกขนาดของรางน้ำฝนให้เหมาะสมกับปริมาณน้ำที่คาดว่าจะต้องรองรับ สำหรับหลังคาขนาดใหญ่ ควรเลือกใช้รางน้ำฝนขนาดใหญ่ เพื่อให้สามารถระบายน้ำฝนออกจากหลังคาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ลักษณะของหลังคาที่ติดตั้ง
บ้านหนึ่งหลังอาจมีหลายแบบของหลังคา เช่น หลังคาโรงรถ หลังคาครัวไทย และหลังคาตัวบ้าน การเลือกใช้รางน้ำฝนจะแตกต่างกันไปในแต่ละแบบของหลังคา บางแบบสามารถติดตั้งรางน้ำฝนด้วยตนเองได้หากมีเครื่องมือที่จำเป็น ในขณะที่บางแบบอาจต้องจ้างช่างผู้ชำนาญมาติดตั้งให้
หากเป็นหลังคาขนาดเล็ก อย่างหลังคาโรงรถ คุณอาจเลือกใช้รางน้ำฝนประเภทที่สามารถติดตั้งได้ด้วยตนเอง หากมีเครื่องมือครบชุด แต่สำหรับหลังคาตัวบ้าน ขอแนะนำให้จ้างช่างผู้ชำนาญเพื่อติดตั้งรางน้ำฝนให้ เนื่องจากจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากกว่า
- ความคุ้มค่าและความสวยงาม
รางน้ำฝนมีหลากหลายวัสดุให้เลือกใช้ แต่ละวัสดุจะมีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป ทั้งในด้านความทนทาน ความแข็งแรง และรูปลักษณ์ที่สวยงาม ก่อนตัดสินใจเลือกประเภทของรางน้ำฝน ควรพิจารณาคุณสมบัติต่าง ๆ ของวัสดุนั้น ๆ ให้ดีเสียก่อน เพื่อให้ได้รางน้ำฝน ราคาที่เหมาะสมกับความต้องการมากที่สุด
ลดปัญหาน้ำกระเซ็น กับวิธีติดตั้งรางน้ำฝน
- สำรวจพื้นที่หลังคา ตรวจสอบว่าสามารถติดตั้งรางน้ำฝนได้อย่างปลอดภัย และรับน้ำหนักได้เพียงพอ
- วัดความลาดเอียงของหลังคา เพื่อคำนวณความยาวของรางน้ำฝนที่เหมาะสม ให้มีระดับเอียงที่พอเหมาะสำหรับการไหลของน้ำ
- ใช้เชือกตีแนวเส้น เพื่อกำหนดตำแหน่งการติดตั้งตะขอแขวนรางน้ำฝนให้ตรงและเป็นระเบียบ
- ติดตั้งตะขอแขวนรางน้ำฝน โดยเว้นระยะห่างที่เหมาะสมตามคำแนะนำของผลิตภัณฑ์
- ติดตั้งรางน้ำฝนบนตะขอแขวน หากเป็นวัสดุโลหะให้เชื่อมจุดต่อให้เรียบร้อย หรือใช้วัสดุอุดรอยต่อสำหรับวัสดุสังเคราะห์
- ตรวจสอบการทำงานของรางน้ำฝน โดยทดสอบการรับน้ำก่อนเก็บงาน หากไม่มีปัญหา งานติดตั้งรางน้ำฝนก็เสร็จสมบูรณ์
สรุป
การติดตั้งรางน้ำฝนนั้นเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับบ้านทุกหลัง เพราะช่วยป้องกันน้ำฝนไหลเข้าบ้าน ป้องกันความเสียหายให้กับโครงสร้างอาคาร อย่างไรก็ตาม ก่อนติดตั้งรางน้ำฝน มีประเด็นสำคัญที่ควรระวังไม่ว่าจะเป็นการเลือกวัสดุที่เหมาะสมกับวิธีไล่มด การคำนวณขนาดและปริมาณ การวางแผนระบบการระบายน้ำฝนอย่างถูกวิธี การเตรียมการอย่างรอบคอบและติดตั้งอย่างถูกต้อง รางน้ำฝนจะเป็นผู้ช่วยที่ดีในการปกป้องบ้านของคุณจากความเสียหายจากน้ำฝนได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด