การซื้อบ้านเป็นความฝันของหลายคน แต่มักมาพร้อมกับภาระหนี้สินระยะยาว ในช่วงปีแรก ๆ อัตราดอกเบี้ยอาจไม่สูงมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไป อัตราดอกเบี้ยจะสูงขึ้น ส่งผลให้ภาระค่าผ่อนบ้านหนักขึ้นเรื่อย ๆ การรีไฟแนนซ์บ้านจึงเป็นทางออกที่ช่วยแบ่งเบาภาระหนี้ให้ผู้ผ่อนบ้านได้ การรีไฟแนนซ์บ้านคือการกู้เงินจากสถาบันการเงินแห่งใหม่เพื่อมาชำระหนี้เดิมที่มีอยู่ โดยอัตราดอกเบี้ยใหม่ที่ได้จะต่ำกว่าเดิม จึงทำให้ค่าผ่อนบ้านรายเดือนลดลง นอกจากนี้ ยังสามารถขอเงินส่วนต่างจากวงเงินกู้ใหม่มาใช้จ่ายได้อีกด้วย
คุณสมบัติของผู้ที่สามารถรีไฟแนนซ์บ้าน
สำหรับผู้ที่ต้องการรีไฟแนนซ์บ้าน การตรวจสอบคุณสมบัติกับสถาบันการเงินที่จะขอรีไฟแนนซ์ใหม่เป็นสิ่งสำคัญ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. บุคคลธรรมดา) เป็นภาษีที่เก็บจากรายได้ของบุคคลธรรมดาตามที่กฎหมายกำหนด เพื่อให้รัฐมีงบประมาณในการพัฒนาประเทศและให้บริการสาธารณะ การยื่นแบบ ภ.ง.ด. บุคคลธรรมดาเป็นขั้นตอนสำคัญที่ผู้มีรายได้ต้องปฏิบัติ โดยสามารถยื่นแบบออนไลน์หรือที่สำนักงานสรรพากรใกล้บ้าน การยื่นแบบและชำระภาษีให้ถูกต้องตามกำหนดจะช่วยหลีกเลี่ยงการถูกปรับและเพิ่มความรับผิดชอบในการเป็นพลเมืองที่ดี การเตรียมเอกสารและข้อมูลรายได้ให้ครบถ้วน จะทำให้การยื่นแบบเป็นไปอย่างราบรื่นและรวดเร็ว เพื่อให้การยื่นขอดำเนินไปอย่างราบรื่น โดยทั่วไปแล้ว คุณสมบัติของผู้ที่สามารถรีไฟแนนซ์บ้านได้นั้นจะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มอาชีพหลัก ดังนี้
ผู้ประกอบอาชีพอิสระ (ฟรีแลนซ์)
- มีสัญชาติไทย
- มีอายุตั้งแต่ 20 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป แต่ไม่เกิน 65 ปี
- มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่ต่ำกว่า 15,000 บาท
- ประกอบอาชีพมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี
พนักงานบริษัท/ข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ
- มีสัญชาติไทย
- มีอายุตั้งแต่ 20 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป แต่ไม่เกิน 65 ปี
- มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่ต่ำกว่า 15,000 บาท
- มีอายุการทำงานไม่น้อยกว่า 6 เดือน
เจ้าของกิจการ/ธุรกิจส่วนตัว
- มีสัญชาติไทย
- มีอายุตั้งแต่ 20 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป แต่ไม่เกิน 65 ปี
- มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่ต่ำกว่า 50,000 บาท
- ประกอบกิจการมาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ปี
อยากรีไฟแนนซ์บ้าน ต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง
สำหรับคนที่กำลังวางแผนจะรีไฟแนนซ์บ้าน การจัดเตรียมเอกสารให้พร้อมเป็นเรื่องสำคัญ เพราะจะช่วยให้กระบวนการดำเนินไปได้อย่างราบรื่น และมีโอกาสได้รับการอนุมัติสูงขึ้น กฎหมายที่ดินเป็นชุดของกฎระเบียบและข้อบังคับที่กำหนดเกี่ยวกับการใช้, การครอบครอง, การโอน, และการจัดการที่ดินในประเทศไทย เพื่อให้เกิดความยุติธรรมและความเป็นระเบียบในสังคม กฎหมายที่ดินครอบคลุมเรื่องการจดทะเบียนสิทธิในที่ดิน, การออกโฉนด, การแบ่งแยกหรือรวมที่ดิน รวมถึงการคุ้มครองสิทธิของเจ้าของที่ดิน การปฏิบัติตามกฎหมายที่ดินช่วยให้การทำธุรกรรมเกี่ยวกับที่ดินเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัย นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันปัญหาข้อพิพาทเกี่ยวกับที่ดินและส่งเสริมการพัฒนาที่ดินอย่างยั่งยืน เอกสารที่ต้องเตรียมสามารถแบ่งออกเป็น 3 หมวดหลัก ๆ ได้แก่
เอกสารส่วนบุคคล
- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
- สำเนาทะเบียนบ้าน
- ใบเปลี่ยนชื่อหรือนามสกุล (หากมีการเปลี่ยน)
- ทะเบียนสมรส (กรณีกู้ร่วมกับคู่สมรส)
เอกสารหลักประกัน
- โฉนดที่ดินของบ้านที่จะใช้เป็นหลักประกัน
- สำเนาสัญญากู้เงินจากสถาบันการเงินเดิม
- แผนที่แสดงตำแหน่งของหลักประกัน
- ทะเบียนการค้า หรือใบจดทะเบียนพาณิชย์ (สำหรับเจ้าของกิจการ)
เอกสารแสดงรายได้หรือหลักฐานการเงิน
สำหรับพนักงานเงินเดือน
- หนังสือรับรองเงินเดือน หรือสลิปเงินเดือน
- สำเนาบัญชีเงินฝากย้อนหลัง 3 เดือน
- สำหรับอาชีพอิสระ
- เอกสารแสดงภาษีเงินได้ 50 ทวิ
- สำเนาบัญชีเงินฝากย้อนหลัง 6 เดือน
สำหรับเจ้าของกิจการ
- สำเนาหลักฐานการชำระภาษี 6 เดือนล่าสุด
- สำเนาการเดินบัญชีธนาคารขั้นต่ำ 6 เดือน
รีไฟแนนซ์บ้าน จะต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง
การรีไฟแนนซ์บ้านเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการปรับปรุงสภาพคล่องทางการเงินหรือลดภาระค่าใช้จ่ายรายเดือน อย่างไรก็ตาม ก่อนตัดสินใจดำเนินการ ควรทราบค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเสียก่อน
ค่าประกันอัคคีภัย
ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัยเป็นรายการค่าใช้จ่ายภาคบังคับสำหรับผู้ที่กู้สินเชื่อบ้าน โดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 1,000-3,000 บาทต่อปี ค่าประกันนี้จะช่วยคุ้มครองความเสี่ยงจากอัคคีภัยหรือภัยธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้นกับบ้าน
ค่าประเมินราคาหลักประกัน
เมื่อเอกสารการขอรีไฟแนนซ์บ้านได้รับการอนุมัติ สถาบันการเงินใหม่จะส่งเจ้าหน้าที่มาสำรวจและประเมินราคาหลักประกัน ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้โดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 2,000-3,000 บาท ขึ้นอยู่กับสถานที่ตั้งของหลักประกัน
ค่าจดทะเบียนจำนอง
เพื่อให้การรีไฟแนนซ์มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย จะต้องมีการจดทะเบียนจำนองใหม่กับสถาบันการเงินใหม่ ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้จะคิดเป็น 1% ของวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติ และต้องชำระให้กับกรมที่ดิน
ค่าอากรแสตมป์
นอกจากค่าจดทะเบียนจำนองแล้ว จะมีค่าอากรแสตมป์ที่ต้องชำระให้กรมสรรพากรอีก 0.05% ของวงเงินกู้ยืมที่ได้รับอนุมัติ
บ้านแบบไหนที่รีไฟแนนซ์บ้านได้?
การรีไฟแนนซ์บ้านเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการปรับปรุงเงื่อนไขการผ่อนชำระบ้านให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันมากขึ้น อย่างไรก็ตาม มีข้อกำหนดและเงื่อนไขบางประการที่ผู้สนใจจะต้องพิจารณาก่อนดำเนินการหลักเกณฑ์สำคัญประการหนึ่งในการรีไฟแนนซ์บ้าน คือ ผู้กู้จะต้องได้ผ่อนชำระหนี้กับสถาบันการเงินเดิมครบตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาเสียก่อน ระยะเวลาดังกล่าวอาจแตกต่างกันไปในแต่ละสถาบันการเงิน โดยทั่วไปมักกำหนดไว้ที่ช่วงระหว่าง 2-5 ปี นับจากวันทำสัญญากู้ยืมเงินครั้งแรก
เมื่อครบกำหนดระยะเวลาตามเงื่อนไขแล้ว ผู้กู้จึงจะมีสิทธิ์ในการรีไฟแนนซ์บ้านกับสถาบันการเงินอื่น ๆ ได้ ซึ่งอาจช่วยให้ได้รับอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าเดิม ระยะเวลาการผ่อนชำระที่ยาวนานขึ้น หรือเงื่อนไขการผ่อนชำระรายเดือนที่เหมาะสมกว่าแบบเดิม นอกจากนี้ การรีไฟแนนซ์บ้านยังเปิดโอกาสให้ผู้กู้สามารถนำเงินส่วนที่เหลือจากวงเงินกู้ใหม่ไปใช้ประโยชน์ในด้านอื่น ๆ ได้ด้วย เช่น ปรับปรุงบ้าน ลงทุนต่อยอดธุรกิจ หรือจ่ายหนี้สินประเภทอื่น ๆ เป็นต้น
แนะนำธนาคารที่น่าสนใจ ที่มีอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อไฟแนนซ์บ้านต่ำที่สุด
การซื้อบ้านถือเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ในชีวิต ดังนั้นการเลือกสถาบันการเงินและผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว วันนี้เราจะมานำเสนอธนาคารชั้นนำที่มีอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้านต่ำที่สุด พร้อมรายละเอียดเงื่อนไขและข้อกำหนดที่น่าสนใจ
1. ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (GH BANK)
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือ GH BANK นำเสนอสินเชื่อบ้าน HAPPY LIFE สำหรับลูกค้ารายย่อยทั่วไป ด้วยอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรกต่ำสุดเพียง 2.98% แบ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่ปีที่ 1 อยู่ที่ 1.95% และปีที่ 2-3 อยู่ที่ 3.50% วงเงินกู้สูงสุดไม่เกิน 2.5 ล้านบาท
สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ขั้นต่ำ 70,000 บาทต่อเดือน ธนาคารมีผลิตภัณฑ์ GHB PRECIOUS ด้วยอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีต่ำสุดเพียง 3.17% แบ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่ปีที่ 1 อยู่ที่ 2.30% และปีที่ 2-3 อยู่ที่ 3.60% โดยวงเงินกู้สูงสุดไม่เกิน 5 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ลูกค้าจะต้องชำระค่าเบี้ยประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อกับธนาคาร
2. ธนาคาร แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน)
ธนาคาร แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ หรือ LH BANK มีอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้านเฉลี่ย 3 ปีแรกต่ำสุดอยู่ที่ 3.14% สำหรับลูกค้าที่ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA/MLTA) โดยแบ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่ปีแรกอยู่ที่ 2.74% ปีที่ 2 อยู่ที่ MRR-5.46% และปีที่ 3 อยู่ที่ MRR-3.01%
หากลูกค้าต้องการให้ธนาคารออกค่าจดจำนองให้ จะมีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีอยู่ที่ 3.29% สำหรับลูกค้าที่ทำประกัน MRTA/MLTA นอกจากนี้ ยังมีสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์สำหรับลูกค้าที่ไม่ต้องการทำประกันฯ ด้วยอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีอยู่ที่ 3.62% โดยผลิตภัณฑ์ทั้งหมดให้วงเงินกู้ 100% ของภาระหนี้คงเหลือ แต่ไม่เกินราคาประเมินหลักประกัน
3. ธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB)
ธนาคารทหารไทยธนชาตแบ่งสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ออกเป็น 2 กลุ่มหลัก สำหรับลูกค้าที่รับเงินเดือนผ่านบัญชี TTB PAYROLL จะมีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรกต่ำสุดอยู่ที่ 3.39% ด้วยอัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.39% ตลอด 3 ปี โดยผู้กู้ต้องสมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท
ส่วนลูกค้าทั่วไปที่ไม่ได้รับเงินเดือนผ่าน TTB จะมีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรกต่ำสุดอยู่ที่ 3.49% เมื่อสมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ด้วยอัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.49% ตลอด 3 ปี ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ของธนาคารให้วงเงินขั้นต่ำ 500,000 บาท และสูงสุดไม่เกิน 50 ล้านบาท
4. ธนาคารกรุงไทย (KTB)
ธนาคารกรุงไทยเสนอสินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้านด้วยอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรกต่ำสุดอยู่ที่ 3.40% สำหรับกรณีขอสินเชื่อพร้อมทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ แบ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่ปีที่ 1 อยู่ที่ 1.99% และปีที่ 2-3 อยู่ที่ 4.10% ลูกค้าสามารถเลือกผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาทในช่วงปีแรก
หากลูกค้าไม่ต้องการทำประกันฯ ธนาคารมีผลิตภัณฑ์สินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้านด้วยอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรกต่ำสุดอยู่ที่ 3.50% แบ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่ปีที่ 1 อยู่ที่ 2.29% และปีที่ 2-3 อยู่ที่ 4.10% โดยยังคงสิทธิ์ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาทในปีแรกเช่นเดียวกัน
ทุกผลิตภัณฑ์สินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้านของธนาคารกรุงไทยให้วงเงินกู้สูงสุด 100% ของภาระหนี้คงเหลือ และมีระยะเวลาผ่อนนานสูงสุด 40 ปี นอกจากนี้ ธนาคารยังมีมาตรการพิเศษปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่มีการเรียกเก็บตามอัตราดอกเบี้ยลอยตัวลง 0.25% ต่อปี เป็นระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม – 15 พฤศจิกายน 2567 เพื่อช่วยเหลือลูกค้ากลุ่มเปราะบาง
5. ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB)
ธนาคารไทยพาณิชย์มีผลิตภัณฑ์รีไฟแนนซ์บ้านให้เลือกสองแบบ คือ แบบทำประกันและแบบไม่ทำประกัน
แบบทำประกัน
อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก 3.42%
- ปีที่ 1: อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.09%
- ปีที่ 2: MRR – 3.15%
- ปีที่ 3: MRR – 2.91%
เงื่อนไข : ต้องทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อมากกว่า 70% ของวงเงิน
แบบไม่ทำประกัน
อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก 3.89%
- ปีที่ 1-2: อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.19%
- ปีที่ 3: 5.29%
สำหรับทั้งสองแบบ ธนาคารให้วงเงินกู้สูงสุด 100% ของราคาประเมินหลักประกัน หรือไม่เกินวงเงินสินเชื่อเคหะเท่ายอดหนี้เดิม นอกจากนี้ ลูกค้าทั่วไป ลูกค้าโครงการ และลูกค้าองค์กร จะได้รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษตามประเภทและเงื่อนไขของธนาคาร
6. ธนาคารกสิกรไทย (KBANK)
ธนาคารกสิกรไทยมีผลิตภัณฑ์รีไฟแนนซ์บ้านสองแบบด้วยกัน
แบบทำประกัน
อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก 3.45%
- ปีที่ 1: อัตราดอกเบี้ยคงที่ 1.99%
- ปีที่ 2-3: MRR – 3.12%
เงื่อนไข : ต้องทำประกันเพื่อคุ้มครองสินเชื่อบ้านตามเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด
แบบไม่ทำประกัน
อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก 3.53%
- ปีที่ 1: อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.24%
- ปีที่ 2-3: MRR – 3.12%
สำหรับทั้งสองแบบ ธนาคารให้วงเงินกู้ไม่เกิน 100% ของราคาประเมินหลักประกัน และมีระยะเวลาให้กู้สูงสุดไม่เกิน 30 ปี (อายุผู้กู้ไม่เกิน 70 ปี)
7. ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY)
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา หนึ่งในผู้นำด้านสินเชื่อที่อยู่อาศัยได้เปิดตัวโปรแกรมสินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้านพิเศษ มีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยต่ำสุด 3 ปีแรกอยู่ที่ 3.50% โดยในปีแรกคิดอัตรา 2.50% ปีที่สองอยู่ที่ 3.50% และปีที่สามคิดตามอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง (MRR) ลบ 2.90% สำหรับหลักประกันประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ ห้องชุด มูลค่าตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป โดยลูกค้าสามารถผ่อนชำระได้นานสูงสุด 30 ปี และวงเงินกู้สูงสุดถึง 95% ของราคาประเมิน
สำหรับหลักประกันประเภทอาคารพาณิชย์ วงเงินกู้ 1-5 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรกอยู่ที่ 5.27% ส่วนวงเงินกู้ตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรกอยู่ที่ 5.03% วงเงินกู้สูงสุด 90% ของราคาประเมิน
นอกจากนี้ ธนาคารกรุงศรีอยุธยายังออกมาตรการช่วยเหลือพิเศษสำหรับกลุ่มเปราะบาง ทั้งลูกค้าบุคคลและผู้ประกอบการ SME โดยลดดอกเบี้ยเงินกู้ 0.25% เป็นเวลา 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม – 15 พฤศจิกายน 2567
8. ธนาคารกรุงเทพ (BBL)
ธนาคารกรุงเทพ เปิดตัวสินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้าน มีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยต่ำสุด 3 ปีแรกอยู่ที่ 3.50% เช่นกัน โดยมี 2 รูปแบบให้เลือก คือ อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2 ปีแรก อยู่ที่ 3% และปีที่ 3 คิดตามอัตรา MRR ลบ 2.80% หรือจะเลือกอัตราดอกเบี้ยคงที่ 3 ปีที่ระดับ 3.50% โดยผลิตภัณฑ์ทั้ง 2 รูปแบบ กำหนดให้กับวงเงินอนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป สำหรับหลักประกันเป็นที่อยู่อาศัยในโครงการที่มีข้อตกลงกับธนาคาร มีวงเงินกู้สูงสุด 100% ของภาระหนี้คงเหลือ และต้องทำประกันตามเงื่อนไขธนาคาร
สำหรับลูกค้าที่มีหลักประกันเป็นที่อยู่อาศัยทั่วไป หากทำประกันจะได้รับอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรกที่ 3.72% แต่หากไม่ทำประกัน อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 3.88% โดยต้องมีวงเงินอนุมัติตั้งแต่ 3 ล้านบาทขึ้นไป และวงเงินกู้สูงสุดก็คือ 100% ของภาระหนี้คงเหลือเช่นกัน
สรุป
การรีไฟแนนซ์บ้านไม่เพียงแต่ช่วยลดอัตราดอกเบี้ยและระยะเวลาการชำระเงิน แต่ยังเพิ่มความยืดหยุ่นในการชำระเงินและช่วยให้คุณสามารถจัดการการเงินของคุณได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ควรระวังค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง และควรประเมินสถานการณ์การเงินของคุณอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจรีไฟแนนซ์