การรีไฟแนนซ์บ้านเป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยลดภาระการผ่อนบ้านให้เบี้ยบ้านลดลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีเคล็ดลับที่ควรรู้ก่อนทำการรีไฟแนนซ์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เมื่อคุณต้องการทำการรีไฟแนนซ์บ้าน สิ่งที่ควรพิจารณาก่อนที่จะตัดสินใจคือ หากคุณได้ผ่อนบ้านไปแล้ว 3 ปีขึ้นไป หรือตามเงื่อนไขที่ระบุในสัญญากู้บ้าน อาจจะเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการพิจารณารีไฟแนนซ์ เนื่องจากคุณอาจจะมีโอกาสที่จะได้รับอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าเดิม และลดภาระในการผ่อนบ้านได้อีกด้วย
นอกจากนั้น การตรวจสอบและเปรียบเทียบข้อเสนอจากธนาคารหลาย ๆ แห่งก็เป็นสิ่งที่สำคัญ เพื่อให้ได้ข้อเสนอที่น่าสนใจและเหมาะสมกับสภาพการเงินของคุณมากที่สุด อย่าลืมในกระบวนการรีไฟแนนซ์บ้านว่ายังมีวิธีอื่น ๆ ที่ช่วยลดภาระการผ่อนบ้านได้อีกด้วย เช่น การรีเทนชั่น (Retention) ซึ่งเป็นการขอลดดอกเบี้ยบ้านกับธนาคารเดิม โดยการรีเทนชั่นนั้นไม่ต้องมีภาระในการจัดเตรียมเอกสารใหม่ เพื่อขอรีไฟแนนซ์กับธนาคารใหม่ เพียงแค่คุณต้องพิจารณาดูว่าวิธีใดเหมาะสมที่สุดต่อสถานการณ์ของคุณ
ด้วยเคล็ดลับเหล่านี้ การรีไฟแนนซ์บ้านก็จะเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ เพื่อให้คุณสามารถลดภาระการผ่อนบ้านให้มีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น และมีเงินออมมากขึ้นเพื่อลงทุนหรือใช้ในวัตถุประสงค์อื่น ๆ ตามที่คุณต้องการ
รีไฟแนนซ์บ้านที่ไหนดี
การเลือกธนาคารที่เหมาะสมสำหรับการรีไฟแนนซ์บ้านไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่ต้องพิจารณา เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดตามความต้องการของแต่ละบุคคล การเลือกธนาคารที่เหมาะสมที่สุดจะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ อาทิเช่น อัตราดอกเบี้ยที่น้อยที่สุดที่เฉลี่ย พร้อมกับการพิจารณาโปรโมชั่นและความสะดวกในการใช้บริการทางการเงิน เช่น บริการออนไลน์ การติดต่อทางโทรศัพท์ หรือการให้คำปรึกษาทางการเงิน
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นๆ เช่น งบประมาณที่พร้อมจะใช้ในการรีไฟแนนซ์บ้าน และความสบายใจต่อการให้บริการ ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรพิจารณาอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ ดังนั้น การเลือกธนาคารสัญญาเช่าบ้านที่เหมาะสมสำหรับการรีไฟแนนซ์บ้านไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากต้องพิจารณาหลายปัจจัย แต่การทำความเข้าใจความต้องการและการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างถูกต้องจะช่วยให้คุณทำการเลือกธนาคารที่เหมาะสมได้ง่ายขึ้น
มองหาดอกเบี้ยที่ต่ำลงกว่าเดิม
เมื่อคุณต้องการทำการรีไฟแนนซ์บ้านเพื่อเห็นผลคุ้มค่าต่อการย้ายแหล่งกู้เงินใหม่ สิ่งที่ควรพิจารณาก่อนทำการเลือกธนาคารใหม่คือการมองหาดอกเบี้ยที่ต่ำลงกว่าเดิม โดยเราควรเทียบอัตราดอกเบี้ยในช่วงเวลาดอกเบี้ยโปรโมชั่นในช่วง 1-3 ปี ของธนาคารใหม่กับอัตราดอกเบี้ยหลังจากวาระดอกเบี้ยโปรโมชั่นหมดลง เพราะหลังจากนั้นอัตราดอกเบี้ยจะเป็นไปในลักษณะลอยตัว หรือ MLR (Marginal Cost of Fund Based Lending Rate) ซึ่งอัตราดอกเบี้ย MLR ของแต่ละธนาคารจะไม่เท่ากัน
ดังนั้น การตรวจสอบส่วนต่างดอกเบี้ยระหว่างการใช้บริการกับธนาคารเดิมกับค่าใช้จ่ายหลังรีไฟแนนซ์ไปยังธนาคารใหม่เป็นสิ่งที่สำคัญ เพื่อให้แน่ใจว่ามีการส่วนลดที่เพียงพอต่อการทำการรีไฟแนนซ์หรือไม่ โดยทุกปีธนาคารต่าง ๆ จะแข่งขันกันในการเสนอโปรโมชั่นใหม่ ๆ อัตราดอกเบี้ยที่ดึงดูดมากขึ้นเพื่อดึงดูดลูกค้า หน้าที่ของเราคือต้องคอยตรวจสอบว่าธนาคารใดมีอัตราดอกเบี้ยที่ดีที่สุดโดยเทียบกับที่เราใช้บริการอยู่ ถ้าคำนวณแล้วพบว่าคุ้มค่าก็สามารถดำเนินการย้ายไปใช้บริการได้ทันที
ศึกษาค่าใช้จ่ายในการรีไฟแนนซ์ก่อน
การรีไฟแนนซ์บ้านคือการที่เราต้องพิจารณาค่าใช้จ่ายทั้งหมดล่วงหน้าก่อนการดำเนินการ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เหมาะสมและคุ้มค่าที่สุด ดังนั้น เมื่อเราต้องการรีไฟแนนซ์บ้าน เราควรทำการวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายดังต่อไปนี้
- ค่าปรับ : ในกรณีที่เราต้องการรีไฟแนนซ์กับธนาคารเดิมก่อนที่จะครบกำหนดระยะเวลา 3 ปี จะมีค่าปรับราวๆ 0-3% ของวงเงินกู้ โดยค่าปรับนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละธนาคาร ดังนั้น เราควรระมัดระวังและไม่รีไฟแนนซ์ก่อนครบกำหนดระยะเวลา 3 ปี เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย
- อัตราดอกเบี้ย : ในปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MLR ของแต่ละธนาคารจะไม่เกิน 7-8% ดังนั้น เราควรใส่ใจกับ MLR- หรือตัวลบ ที่ต่อท้ายอัตราดอกเบี้ยเพื่อให้ได้อัตราดอกเบี้ยที่ดีที่สุด
- ค่าประเมินราคาสินทรัพย์ใหม่ : ค่าใช้จ่ายในการประเมินราคาสินทรัพย์ใหม่ของแต่ละธนาคารจะไม่เท่ากัน ซึ่งมักจะอยู่ในช่วงราวๆ 0.25-2% ของราคาสินทรัพย์ ควรพิจารณาให้รอบคอบเพื่อลดค่าใช้จ่าย
ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ รวมถึงค่าธรรมเนียมในการปล่อยกู้ใหม่ ค่าอากรแสตมป์ ค่าจดจำนองที่ดิน และค่าทำประกัน สรุปได้ว่า ค่าใช้จ่ายในการรีไฟแนนซ์บ้านใหม่จะมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ราว ๆ 2-3% ของวงเงินกู้ ค่าใช้จ่ายเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินการรีไฟแนนซ์ และควรพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจ
ขั้นตอนในการรีไฟแนนซ์บ้าน (Refinance) เพื่อลดดอกเบี้ยบ้านได้แก่ดังนี้
- ติดต่อกับธนาคารเดิม : เริ่มต้นโดยการติดต่อกับธนาคารที่เคยกู้เงินไปแล้ว เพื่อขอรายการสรุปยอดหนี้สินเชื่อบ้าน ค่าใช้จ่ายในขั้นนี้อาจแตกต่างกันไปตามนโยบายของแต่ละธนาคาร บางธนาคารอาจไม่มีค่าใช้จ่ายในขั้นนี้
- ยื่นขอรีไฟแนนซ์ : หลังจากได้รับรายการยอดหนี้ที่ต้องการแล้ว นำเอกสารดังกล่าวไปยื่นขอรีไฟแนนซ์บ้านธนาคารไหนดี ในกรณีที่พิจารณาแล้วว่าการรีเทนชั่นอาจจะคุ้มกว่า สามารถยื่นกับธนาคารเดิมได้
- การประเมินทรัพย์สิน : เจ้าหน้าที่จะต้องมาประเมินบ้าน ฤกษ์ยกเสาเอกบ้าน หรือทรัพย์สินที่ต้องการรีไฟแนนซ์ เป็นการประเมินเช่นเดียวกับการกู้ซื้อบ้านในช่วงแรก
- รอผลการอนุมัติ : รอฟังผลการอนุมัติจากธนาคารว่าเราได้รับการอนุมัติสินเชื่อหรือไม่
- ไถ่ถอน : หากได้รับการอนุมัติสินเชื่อ ติดต่อกับธนาคารเก่าเพื่อนัดวันไถ่ถอนที่สำนักงานที่ดิน นำเอกสารไปไถ่ถอนบ้านจากสินเชื่อเดิมโดยคิดยอดที่ต้องจ่ายเป็นเงินต้นบวกดอกเบี้ย (นับจนถึงวันไถ่ถอน)
- ทำสัญญาใหม่ : ติดต่อกับธนาคารใหม่ที่ต้องการรีไฟแนนซ์บ้านเพื่อทำสัญญาสินเชื่อใหม่ นัดวันทำสัญญาและโอนบ้านที่ใช้จำนอง ควรนัดทั้ง 2 ธนาคารมาภายในวันเดียวกันเพื่อชำระหนี้
- โอนกรรมสิทธิ์ : ไปที่สำนักงานที่ดิน ณ เขตที่ตั้งของทรัพย์สิน เพื่อทำเรื่องโอนกรรมสิทธิ์ โดยมีเจ้าหน้าที่จากทั้งสองธนาคารไปด้วย
- ส่งโฉนด : ขั้นตอนสุดท้ายคือ การมอบโฉนดที่ได้มาจากสำนักงานที่ดินให้กับธนาคารใหม่ เพื่อเสร็จสิ้นกระบวนการรีไฟแนนซ์บ้านได้อย่างสมบูรณ์
ข้อดีของการรีไฟแนนซ์บ้านเพื่อลดดอกเบี้ยบ้าน
- ลดดอกเบี้ยที่ต้องเสีย : การลดดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายเป็นประโยชน์หลักที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด เมื่ออัตราดอกเบี้ยในสัญญาใหม่ต่ำกว่าสัญญาเดิม จำนวนดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายต่อเดือนและดอกเบี้ยรวมทั้งสัญญาจะลดลงตามไปด้วย
- หักเงินต้นได้มากขึ้น : เมื่อภาระดอกเบี้ยลดลง ค่าผ่อนบ้านในแต่ละเดือนก็จะถูกนำไปหักเงินต้นคงเหลือได้มากขึ้น ดังนั้น การลดดอกเบี้ยจะช่วยให้มีส่วนที่มากขึ้นของการผ่อนเป็นเงินต้น
- ค่าผ่อนบ้านที่น้อยลง : สัญญาใหม่อาจทำให้ค่าผ่อนบ้านในแต่ละเดือนลดลง เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยลดลงหรือการขยายระยะเวลาในสัญญาใหม่ อาจทำให้ค่าผ่อนบ้านในสัญญาใหม่ของผู้ขอสินเชื่อลดลงได้ เช่น การขยายระยะเวลาผ่อนชำระจาก 25 ปี เป็น 30 ปี สามารถทำให้ค่าผ่อนเป็นเงินลดลงได้ เป็นต้น
เมื่อต้องการรีไฟแนนซ์บ้าน คุณจำเป็นต้องเตรียมเอกสารต่อไปนี้
1.เอกสารประจำตัวบุคคล
- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
- สำเนาทะเบียนบ้าน
- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของคู่สมรส (หากมี)
- สำเนาทะเบียนบ้านของคู่สมรส (หากมี)
2.เอกสารทางการเงิน
- สำหรับบุคคลที่มีรายได้ประจำ (มีเงินเดือน):
- สลิปเงินเดือนย้อนหลัง 3-6 เดือน
- หนังสือรับรองการทำงาน
- สำเนารับรองการหักภาษี (50 ทวิ)
3.สำหรับผู้ที่ทำธุรกิจส่วนตัว
- สำเนารับรองการจดทะเบียนการค้า
- สำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น
- สำเนารายการเดินบัญชีย้อนหลัง 6 เดือน
- สำเนาแบบแสดงภาษีซื้อขาย (ภ.พ.30)
4.เอกสารหลักประกันการรีไฟแนนซ์บ้าน
- สำเนาโฉนดที่ดิน หนังสือกรรมสิทธิ์ หรือเอกสารที่เกี่ยวข้องที่บ่งชี้ถึงหลักประกัน
- สำเนาสัญญาการซื้อขายหรือให้ที่ดิน (ทด.13 หรือ 14) หรือสัญญาซื้อขายห้องชุด
- สำเนาสัญญากู้จากธนาคารเดิม
- สำเนาสัญญาจำนองที่ดิน
- สำเนาใบเสร็จแสดงธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับบ้าน
เมื่อรีไฟแนนซ์บ้านแล้วธนาคารเสนอเพิ่มเงินก้อนส่วนบุคคลมาด้วย ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนที่จะตัดสินใจรับเงินก้อนนี้ เพราะเงินก้อนใหม่ที่เพิ่มเข้ามามักเป็นสินเชื่อส่วนบุคคลที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าสินเชื่อที่ใช้ในการซื้อที่อยู่อาศัย หากเราตั้งใจรีไฟแนนซ์เพื่อลดดอกเบี้ยที่จ่าย กรณีนี้อาจไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่เราตั้งไว้
อย่างไรก็ตามหากมีความจำเป็นจริง ๆ เราก็สามารถรับเงินก้อนที่เพิ่มมาได้ แต่ต้องพิจารณารีไฟแนนซ์บ้าน 2567 ให้ดีว่าเงินนี้จะใช้ประโยชน์อย่างไร และเป็นเรื่องจำเป็นจริง ๆ การใช้เงินให้มีประสิทธิภาพจะช่วยให้เรานำเงินไปใช้ได้อย่างเหมาะสม