ตู้ไฟ หรือ ตู้สวิตช์บอร์ด เป็นตู้ที่ใช้รวมอุปกรณ์ควบคุมไฟฟ้าเพื่อควบคุมการจ่ายไฟฟ้า มีขนาดที่แตกต่างกันไปตั้งแต่เล็กไปจนถึงใหญ่ที่ต้องใช้ไฟฟ้าจำนวนมาก มักจะติดตั้งในอาคาร รูปแบบการวางระบบไฟฟ้าอาจแตกต่างกันตามความต้องการการใช้งาน ตู้ไฟจะต้องอยู่ในห้องหรือสถานที่ที่ออกแบบมาเพื่อใช้ติดตั้งตู้ไฟเท่านั้น ห้องหรือสถานที่เหล่านี้ไม่ควรมีท่อหรือวัสดุอื่น ๆ อยู่ด้วยในห้อง และไม่ควรตั้งอยู่ในทางเดินหรือทางเข้าห้อง ยกเว้นระบบดับเพลิงสำหรับตู้ไฟและระบบปรับอากาศที่จำเป็นต้องติดตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีวัตถุเป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้ได้ง่าย และตู้ไฟบ้านกันดูดควรอยู่ในบริเวณที่สะดวกในการเข้าถึงเพื่อการตรวจสอบและการบำรุงรักษาที่สะดวกที่สุด
ประเภทของตู้ไฟ
ตู้ไฟมีประเภทต่าง ๆ มากถึง 4 แบบดังนี้
ตู้ไฟ MDB (Main Distribution Board)
มีหน้าที่ควบคุมการจ่ายไฟฟ้าและรับไฟฟ้าจากแหล่งกำเนิดไฟฟ้าหรือหม้อแปลง แล้วจัดส่งไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ต้องการใช้ไฟฟ้า ตู้ MDB มีความทนทานต่อแรงดันไฟฟ้า ความร้อน และสภาวะที่กัดกร่อนจากความชื้นและสารเคมี อุปกรณ์ที่ประกอบอยู่ในตู้ไฟนี้สามารถเป็นได้ทั้งบัสบาร์ เครื่องวัดไฟฟ้า เซอร์กิตเบรกเกอร์ และอื่น ๆ
ตู้ไฟ SDB (Sub Distribution Board)
มีหน้าที่ควบคุมระบบไฟฟ้าเพื่อจ่ายกระแสไฟฟ้าไปยังตู้อื่น ๆ โดยเฉพาะในงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่มีการแบ่งการทำงานเป็นสัดส่วน ในกรณีที่ต้องการซ่อมบำรุง สามารถตัดไฟตู้ SDB ในส่วนนั้นได้ทันที โดยที่ส่วนอื่นของอุตสาหกรรมยังสามารถใช้ไฟฟ้าได้ตามปกติ
ตู้ไฟ PB (Panel Board) หรือ ตู้โหลดเซนเตอร์ (Load Center)
เหมาะสำหรับการควบคุมไฟฟ้าในอาคารขนาดกลางถึงใหญ่ รวมทั้งในโรงงานอุตสาหกรรม มีแผงเซอร์กิตเบรกเกอร์อยู่ภายใน ที่ใช้ควบคุมการจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ
ตู้ไฟ LP (Load Panel)
ตู้นี้มีสวิตช์ใช้ควบคุมส่วนของวงจรไฟฟ้าย่อย ใช้ควบคุมไฟในห้องที่ต้องการควบคุม ตู้ LP จะมีเซอร์กิตเบรกเกอร์หลายตัววางเรียงกันอยู่ในกล่อง ทำให้ตู้ชนิดนี้มีขนาดกะทัดรัด บางอาคารอาจใช้ตู้ LP ควบคุมแทนตู้ไฟแบบ SDB ได้ นอกจากนี้ ตู้ LP ยังสามารถแยกย่อยได้เป็น
- Load Panel 3 เฟส เรียกว่า Load Center ที่มีแผงเซอร์กิตเบรกเกอร์ควบคุมการจ่ายกระแสไฟฟ้าสู่เครื่องใช้ไฟฟ้า
- Load Panel 1 เรียกว่า Consumer Unit เป็นแผงไฟฟ้าสำเร็จรูปที่นิยมใช้ในบ้านหรืออาคารขนาดเล็กที่ใช้ระบบไฟ 1 เฟส 220 โวลต์
ข้อดีของการมีตู้ไฟ
- ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุจากไฟฟ้าลัดวงจร ไฟไหม้ และไฟดูดได้ ทำให้ระบบไฟฟ้ามีความเสถียรภาพและปลอดภัยมากขึ้น ช่วยให้เรามั่นใจในการใช้งานระบบไฟฟ้าของเราได้อย่างมั่นใจมากขึ้น
- ช่วยยืดอายุการใช้งานของสายไฟ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่อยู่ภายในตู้ไฟให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ด้วยการปกป้องอุปกรณ์จากสภาวะอุณหภูมิสูง ความชื้น และสิ่งสกปรกต่าง ๆ ที่อาจเสียหายได้ ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมและบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าในระยะยาวด้วย
- ช่วยป้องกันละอองฝุ่น ความชื้น หรือหยดน้ำจากเข้าสู่ระบบไฟฟ้า ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้เกิดอันตรายและความเสียหายต่ออุปกรณ์ภายในตู้ไฟได้ การป้องกันเหล่านี้ช่วยให้ระบบไฟฟ้าประกอบด้วยอุปกรณ์ที่มีความเสถียรและสามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพตลอดเวลา
- ช่างไฟสามารถตรวจสอบสายไฟฟ้าที่อยู่ภายในตู้ไฟได้สะดวกและง่ายมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้การดูแลรักษาและการบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าเป็นไปได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม อีกทั้งยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาให้น้อยลงเพราะสามารถตรวจสอบและแก้ไขปัญหาได้ทันที
ข้อสำคัญในการติดตั้งตู้ไฟ
- การเลือกสถานที่ติดตั้ง ตู้ไฟควรอยู่ในห้องหรือสถานที่ที่มีการจัดเตรียมมาเฉพาะสำหรับการติดตั้งตู้ไฟเท่านั้น ห้ามมีท่อหรือสิ่งของอื่น ๆ ภายในห้อง และบริเวณทางเดินหรือทางเข้าห้อง ยกเว้นระบบดับเพลิงสำหรับตู้ไฟและระบบปรับอากาศหรือตัวดูดอากาศ ซึ่งอนุญาตให้อยู่ในพื้นที่เดียวกันกับตู้ไฟ
- การติดตั้งในพื้นที่แห้งสนิท ตู้ไฟควรติดตั้งในพื้นที่ที่แห้งและสามารถเข้าถึงได้สำหรับการตรวจสอบและบำรุงรักษา ที่ต้องระวังคือไม่ควรติดตั้งในพื้นที่ที่มีวัตถุติดไฟได้ง่าย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเพลิงไหม้ หากตู้ไฟต้องติดตั้งภายนอกอาคาร ควรมีวัสดุปกปิดที่ทนต่อสภาพอากาศเพื่อป้องกันการสึกกร่อน
- ระยะห่างจากเพดาน ตู้ไฟควรห่างจากเพดานที่ติดไฟได้ไม่น้อยกว่า 0.90 เมตร หากเป็นเพดานที่ไม่ติดไฟ สามารถใช้แผงกั้นที่ทนไฟเพื่อลดระยะห่างลดลงเหลือ 0.60 เมตร และแผงสวิตช์ต้องต่อลงดิน เพื่อความปลอดภัย
ดังนั้น การติดตั้งตู้ไฟ Switchboard เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องใส่ใจเพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพของระบบไฟฟ้า การเลือกใช้ตู้ไฟที่มีคุณภาพและผ่านมาตรฐานเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการใช้งานและการดูแลรักษาระบบไฟฟ้าในระยะยาว
ตู้ไฟสามารถทำความสะอาดได้ไหม ?
ตู้ไฟสามารถทำความสะอาดได้ แต่ไม่สามารถใช้ผ้าเปียกทำความสะอาดได้เนื่องจากเป็นตู้ไฟที่มีการกันน้ำและกันฝุ่น ถึงแม้ว่าจะผ่านการบิดผ้าชุบน้ำเล็กน้อย การที่ตู้ไฟมีฝุ่นเกาะอยู่ภายในอาจแสดงให้เห็นว่าเป็นตู้ไฟที่ไม่มีคุณภาพ หากต้องการทำความสะอาดตู้ไฟสามารถทำได้โดยตัดไฟก่อนแล้วใช้เครื่องดูดฝุ่น แต่อย่าใช้วิธีการเป่าลมเข้าอย่างแรง เพราะอาจทำให้ฝุ่นกระจายไปเกาะอยู่ที่ส่วนต่าง ๆ ของตู้ไฟ หากไม่ทำการบำรุงรักษาตู้ไฟจนทำให้ตู้ไฟสกปรก จะส่งผลต่อฉนวนต่าง ๆ เช่น ลูกถ้วยรองรับบัสบาร์ภายในตู้ไฟที่เกิดจากฝุ่นละอองปริมาณมาก ซึ่งอาจสร้างตัวเป็นแผ่นฟิล์มบาง ๆ เป็นตัวนำไฟฟ้า ทำให้ฉนวนภายในตู้ไฟเสื่อมสภาพและเกิดการรั่วไฟลงดินทำให้เกิดความร้อนสูง ซึ่งสามารถก่อให้เกิดความเสียหายได้ และที่สำคัญคือค่าใช้จ่ายในการดูแลแก้ไขตู้ไฟที่เกิดข้อผิดพลาดอาจสูงขึ้น
ดังนั้น การบำรุงรักษาตู้ไฟบ้านทรงไทย น็อคดาวน์เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น ควรปฏิบัติตามคำแนะนำและแนวทางการดูแลตู้ไฟอย่างถูกต้องเพื่อให้ระบบไฟฟ้าทำงานอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพตลอดเวลา
ช่างไฟสามารถตรวจสอบตู้ไฟได้อย่างไรบ้าง?
เพื่อตรวจสอบตู้ไฟแบบคร่าว ๆ ช่างไฟสามารถเริ่มต้นจากการตรวจเช็คจุดต่อสายไฟต่าง ๆ ภายในตู้เพื่อตรวจสอบความผิดปกติ และตรวจสอบ Terminal รวมถึงขัน Bolt & Nut ที่เป็นสลักเกลียวให้แน่นอน จากนั้นทดสอบค่าความต้านทานของจุดต่อลงดิน (Ground Resistance Test) เพื่อป้องกันความเสียหายของระบบไฟฟ้าที่อาจเกิดขึ้นจากฟ้าผ่าหรือไฟฟ้ารั่วลงดิน เพื่อให้การทำงานอย่างปลอดภัย ต่อจากนั้นคือการทดสอบค่าความเป็นฉนวนของสายไฟฟ้า (Insulation Test) ซึ่งสามารถทดสอบได้โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Insulation Tester
เวลาใช้งานตู้ไฟจำเป็นต้องระมัดระวังอย่างมาก เพราะอาจเกิดอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ ดังนั้นช่างไฟจึงต้องตรวจเช็คขนาดกระแสของเมนสวิตช์และสายเมน ตรวจสอบพิกัดตัดกระแสไฟฟ้าลัดวงจรของเมนสวิตช์ รวมถึงติดตั้งเครื่องป้องกันกระแสรั่วลงดินบ้านกระจก และตรวจสอบสภาพเครื่องห่อหุ้มเมนสวิตช์ว่าอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์หรือไม่ อีกทั้งยังใช้เทอร์โมสแกนเพื่อถ่ายภาพความร้อนก่อนและหลัง (หรือเรียกว่า Preventive Maintenance) เพื่อดูแลสภาพตู้ไฟเมื่อถึงเวลาที่กำหนดไว้ และตรวจเช็คระบบ CAPACITOR BANK
เลือกตู้ไฟอย่างไรดี
เมื่อเลือกตู้ไฟควรพิจารณาสิ่งต่อไปนี้
- ประเภทการติดตั้ง มีสองแบบหลัก ๆ คือแบบปลั๊กออน (Plug-on) และแบบรางปีกนก (DIN-Rail) คุณสามารถเลือกตามความต้องการ แต่ละแบบมีข้อดีและข้อเสียที่ต่างกัน ควรพิจารณาตามความเหมาะสมและความยืดหยุ่นในการติดตั้ง
- จำนวนช่องลูกเบรกเกอร์ ต้องพิจารณาจำนวนช่องลูกเบรกเกอร์ที่ต้องการใช้งาน ตู้ไฟมักมีช่องลูกเบรกเกอร์ตั้งแต่ 4-20 ช่องต่อตู้ ขึ้นอยู่กับการใช้งานและความต้องการของคุณ
- เมนเบรกเกอร์และลูกเบรกเกอร์ มี 2 รูปแบบหลักคือ MCB และ RCBO/RCCB ควรเลือกตามความต้องการและความปลอดภัยของระบบไฟฟ้า สามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อคำแนะนำในการเลือก
- คุณภาพของแบรนด์ ควรเลือกตู้ไฟจากแบรนด์ที่มีความเชื่อถือและมาตรฐานการผลิตที่สูง สินค้าควรมีมาตรฐานตามกฎหมายและมาตรฐานสากล IEC เพื่อความปลอดภัยและคุณภาพที่ดี
- วัสดุที่แข็งแรง เลือกตู้ไฟที่ทนทานและไม่เป็นวัสดุลามไฟ เช่น ตู้พลาสติกที่เป็นฉนวนไฟฟ้า เพื่อความปลอดภัยจากกระแสไฟฟ้า
- ความสะดวกในการหาซื้อ ตู้ไฟและอุปกรณ์ไฟฟ้าควรสามารถหาซื้อได้ง่าย หากมีการชำรุดเสียหายเกิดขึ้น เพื่อความสะดวกและการติดตั้งเมื่อมีความจำเป็น
บทสรุป
ตู้ไฟ เป็นส่วนประกอบสำคัญของระบบการจ่ายไฟฟ้า ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ตู้ไฟคอนโทรลมีคุณภาพเพื่อปกป้องอุปกรณ์ไฟฟ้าและสายไฟให้คงทน และป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน เช่น ไฟฟ้าลัดวงจร ไฟดูด ไฟไหม้ เป็นต้น นอกจากนี้ ตู้ไฟยังให้ความสะดวกในการทำงานของช่างไฟอีกด้วย